อินมันผู้แบกสมบัติ
ผู้แบกสมบัติ หลังจากที่ชาวบ้านค่อยเอาของออกมาให้คนพเนจรและคนขอทาน ชาวบ้านต่างยินดี ที่จะให้ทานเพราะเงินที่มีในตอนนี้มัรล้นมือล้นเท้าไปหมด จะให้แก่คนพเนจรนิดหน่อยคงไม่เป็นไร เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปพวกเขาก็กลับมาค้าขายได้ดังเดิม และเริ่มให้ทานแก่คนพเนจรจนเป็นเรื่องปกติ บางวันคนพเนจรมากบ้างน้อยบ้างพวกเขาก็ให้ทานเรื่อยๆอยู่ราวมหลายเดือนจนคนพเนจรเริ่มหลั่งไหลมาที่หมู่บ้านมากขึ้นเพราะกันบอกกันปากต่อ
ปากว่าเรื่องที่ชาวบ้านให้ทานแก่คนพเนจรตลอดจึงทำให้ผู้คนยากไร้ต่างเดินทางมาเพื่อพึ่งใบบุญ ขอความเมตาจากชุมชนแห่งนี้ แต่ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มไม่อยากให้ทานแก่ผู้คนยากไร้เสียแล้วเพราะนับวันก็เพิ่มมากขึ้นเพิ่มมากขึ้นและก็ต้องให้ทานมากขึ้นอีก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสมบัติที่มีคงจะหมดได้ในเร็ววัน ชาวบ้านจึงเรียกชุมนุมถึงสัญญากับ อินมัน เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน
“พวกเราไม่เห็นอินมันมาที่หมู่บ้านอีกเลยนับจากวันนั้น แถมคนพเนจรก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่มีคนมาซื้อขายกับเราหากเป็นเช่นนี้ต่อไปสมบัติที่พวกเราหามา ต้องหมดไปกับการให้ทานเป็นแน่”
“ใช่ข้าเองก็รู้สึกเสียดายสมบัติ ที่ได้สูญเสียกับผู้คนยากไร้งอมืองอเท้าพวกนี้อยู่เหมือนกัน สมบัติของเราทำไมเราถึงไม่ได้ใช้ ใยจึงต้องแบ่งให้ทานกับพวกมันด้วย”
ชาวบ้านพูดคุยกันเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะตกลงว่าจะไม่ยอมให้ทานอีก พร้อมทั้งจะกลั่ยแกล่งคนขอทานเช่นแต่ก่อน แต่สุมาลีได้ทัดทานเอาไว้เพื่อไม่ให้ผิดสัญญากับ อินมัน พวกเจ้ารับสมบัติของภูติจอมเจ้าเล่ อินมันมาแล้ว หากไม่ทำตามข้อเสนอที่มันกล่าวไว้ข้าเกรงว่าจะมีภัยเมื่อสุมาลีกล่าวจบ เสียงจากแม่ค้าคนหนึ่งได้กล่าวขึ้นเน็บแนมเขาทันที
“ท่านสุมาลีไม่ได้ทำสัญญากับอินมันพวกข้านั้นรู้ว่าท่านนั้นอิจฉาพวกข้าที่ได้สมบัติมากมายพวกนั้นมาละซิ ท่านเองไม่ต้องถูกบังคับให้ทานเหมือนกับพวกข้า ก็ย่อมพูดได้”
สุมาลีถอนหายใจแล้วไม่หักห้ามสิ่งใดอีก วันต่อมาได้มีชายตาบอดเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ด้วยท่าทางอิฐโรย และขอน้ำดื่มแก่บ้านหลังหนึ่งซึ่งบ้านหลังนั้นได้มอบก้อนหินใส่ในกะลาที่ชายขอทานถือมาเมื่อเพื่อนบ้านหลัง
ข้างๆ เห็นว่าเพื่อนบ้านไม่ยอมให้ทาน จึงทำตามเพราะคิดว่ายังไงชายขอทานคนนี้ก็คงไม่รู้ว่าตนใส่อะไรลงไปในกะลาใบนั้นพวกเขาต่างพากันเอากรวดใส่ให้ชายตาบอดและกลั่นแกล้งโดยการให้ย่ามที่ใส่กรวดจนเต็มส่งให้ชายตาบอดแบกหามพรางหลอกว่าเป็นข้าวสารชายตาบอดได้แบกยามนั้นตามที่ชาวบ้านบอกซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไรรู้เพียงว่าชาวบ้านได้เมตตามอบให้ก็เป็นพระคุณยิ่งระหว่างทางก็มีคนเอาสิ่งของ
สารพัดมาให้แก่ชายตาบอดแต่ทุกอย่างก็เป็นเพียงดินทรายและก้อนหินเท่านั้นจนกระทั่งชายตาบอดเดินทางมาถึงบ้านหลังสุดท้าย ก็คือบ้านของสุมาลีเมื่อเขาเห็นสภาพที่เหนื่อยหอบชองชายตาบอดก็นึกสงสารจับใจจึงได้มอบอาหารและให้ที่พักแก่ชายเคราะห์ร้ายคนนี้ก่อนหน้าที่หมู่บ้านแห่งนี้เคยให้ทานเป็นกิจวัตรแต่ตอนนี้กับเป็นการกลั่นแกล้งขอทานทุกคนที่เดินทางผ่านมาและเมื่อฤดูร้อนผ่านไป และเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวหมู่บ้านใกล้
เคียงได้เก็บผลผลิตและได้มาค้าขายที่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่หมู่บ้านกับปิดเงียบไม่มีการค้าขายพวกเขาจึงไปพบกับหัวหน้าหมู่บ้าน และได้ค้าขายกัน จึงได้ทราบว่าผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ทำอาชีพค้าขายอีกต่อไปแล้วพวกเขาอยากเพลิดเพลินกับสมบัติแทนที่จะดิ้นรนให้เหนื่อยเปล่า สุมาลีจึงได้แนะนำให้ชาวบ้านใกล้เคียงหาสินค้าที่หลากหลายมาขายให้กับคนในหมู่บ้าน เมื่อคนจากหมู่บ้านเกษตรกรได้รับคำแนะนำจากสุมาลีจึงได้บอกต่อ
ไปยังหมู่บ้านข้างๆ ให้นำสินค้าเข้ามาขายซึ่งคนในหมู่บ้านหุบเขาก็แห่ซื้อกันอย่างบ้าคลั่งมีเพียงสุมาลีเท่านั้นที่หาของมาขาย และกักตุนอาหารเพื่อรอหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง เมื่อถึงหน้าหนาวอีกครั้งหัวหน้าหมู่บ้านได้เรียกประชุม และบอกกับทุกคน
“พวกจึคงไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับอินมันหรอกหนา นี้ก็ใกล้จะครบกำหนดหนึ่งปีแล้ว”
ทุกคนในหมู่บ้านเมื่อได้ยินสิ่งที่สุมาลีกล่าว ต่างอ้างว่าอินมันคงลืมไปแล้วว่าเคยทำสัญญาอะไรไว้กับพวกเขา และถึงอินมันจะกลับมาทวงสัญญาก็เอาอะไรไปจากพวกเขาไม่ได้ เพราะจำนวนคนที่เยอะกว่าผิดจากอินมัน
ที่มาเพียงตนเดียว เมื่อถึงกลางฤดูหนาวผู้คนในหมู่บ้านต่างเฝ้ารอการมาถึงของอินมัน แต่ตลอดฤดูหนาวนั้นก็ไร้วี่แววของภูตการะดิ่งในวันที่ตะวันสาดแสงเพื่อเปิดฤดูกาลใหม่ สุมาลีได้เดินทางขึ้นไปพักอยู่บนเขากับชายตาบอดและครอบครัวเพราะได้รับการเตือนมาถึงภัยร้ายที่ชายตาบอดสัมผัสได้ สุมาลีขนข้าวของเดินทางออกจากหมู่บ้านท่ามกลางสายตาของชาวบ้านที่หยามเหยียด และก่นด่าเขาและลูกเมียพร้อมกับชายตาบอด
ต่างยินยอมพร้อมใจไม่ตอบโต้ชาวบ้าน เพราะหวังเพียงแค่พวกเขานั้นจะอยู่รอดปลอดภัย
“มันคงจะละอายไม่มีหน้าไปสู้ใครเขาได้เพราะเชื่ออย่างสนิทใจว่า อินมันจะกล้ามาทวงของทุกอย่างคืน ย้ายลังออกไปเสีย สุมาลี ผู้โงเขา”
และเมื่อสิ้นสุดฤดูหนาวชาวบ้านต่างดีใจ ที่อินมันไม่ได้มาทวงคืนสัญญา และไม่มาเรียกสมบัติคืนพวกเขาฉลองกันทั้งหมู่บ้านพร้อมทั้งจัดงานรื่นเริงดั้งเทศกาลแต่มว่าเวลาเที่ยงคืนของวันนั้น แผ่นดินรอบๆเริ่มสั่นไหวแล้วปรากฎสิ่งที่น่ากลัวขึ้นจากแนวสันเขามวลน้ำจากเทือกเขาได้มุ่งหน้าเขาสู่หมู่บ้านผู้คนที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่วิ่งกันจ้าละหวั่นกลับไปขนสมบัติของพวกเขาออกมาจากบ้านเรือนแต่ว่าคลื่นน้ำรอบแรกเป็นเพียงสัญญาเตือน
เท่านั้นเพราะระรอกต่อมามวลน้ำที่ละลายมาจากสันเขาได้ก่อตัวสูงเกินกว่าหลังคาบ้านแรงน้ำมหาศาลกวาดล้างสมบัติบ้านเรือนรวมทั้งผู้คนไปกับมันพริบตาท่ามกลางภาพอันน่าเวทนานั้น สุมาลีได้ยืนดูจุดจบของหมู่บ้านที่ตระกูลของเขาสร้างมากับมือ และปลอบใจตนเองว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่หลงเชื่อคำชักจูงจากอินมันเจ้าเล่ตนนั้น กระทั้งน้ำท่วมได้ผ่านไปหมู่บ้านที่เคยมีอยู่ตามซอกภูเขาตอนนี้เหลือเพียงซากปลักหักพัง และไม่นานสี
นงกระดิ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับปรากฎเกวียนลากเผยให้เห็นรอยยิ้มของอินมันที่เต็มเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ
“ผู้ที่หวังแต่ได้ย่อมไม่รู้จักการให้ มนุษย์นี้มันช่างโง่เขาเสียจริงๆ”
อินมัน หัวเราะด้วยความสุขใจก่อนจะกระโดดไปเก็บสมบัติที่ว่างกองอยู่ตามพื้นเพื่อมุ่งหน้าไปเยือนเมืองถัดไป
“กำไร กำไร ของข้า”