สังคมที่ดี…ทุกคนอยากมี….ทุกคนต้องการ
สังคมที่ดี ว่ากันว่าการอยู่ในสังคมที่ดีเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะ ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข ก็จริงอยู่ที่เขาบอกว่าเราจะเป็นคนแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับสังคมที่เราอยู่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกเพราะว่าทุกคนก็จะต้องอยากมีสังคมที่ดีกันทั้งนั้น สังคมที่ดี ไม่ใช่สังคมที่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่ใช่สังคมที่เกิดความเหลื่อมล้ำการอย่างมากมาย
แล้วไม่ใช่สังคมที่ทุกคนจะสามารถทำอะไรตามใจของตัวเองได้ แต่สังคมที่ดีคือสังคมที่คนในสังคมสามารถคุยกันและหาจุดตรงกลางเพื่ออยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ แล้วเราจะต้องมีวิธีการยังไงที่จะสามารถทำให้เราได้อยู่ในสังคมแบบนั้นได้
การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีเป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนก็ปรารถนา การเปลี่ยนแปลงในสังคมส่งผลมากต่อคนที่อยู่ในสังคมนั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีใครอยากอยู่ในสังคมที่ไม่ดีเเต่การจะได้มาซึ่งสังคมที่ดีมันต้องเริ่มจากอะไร
“วันนี้แต่งตัวอะไรมาอ่ะ แต่งตัวสไตล์แม่ค้าขายผักหรอมันดูตลกอ่ะ อย่าเดินผ่านเราได้ไหมแมลงวันมันตอม ฉีดน้ำหอมกลิ่นตลาดมากเลยกลัวคนอื่นไม่รู้หรอว่าเป็นลูกแม่ค้า”
“ใครก็ได้เอาไฟฉายมาส่องตรงนี้หน่อยได้ไหม พอดีมีจุดสีดำๆอยู่ตรงนี้ เฮ้ยไม่ใช่นั่นมันคนตัวดำนี่เอง ดำขนาดนี้ตอนเด็กๆแม่ให้กินถ่านเป็นอาหารหรือเปล่า”
“คิดยังไงหรอถึงได้อยากเป็นผู้หญิงทั้งๆที่แม่คลอดออกมาให้เป็นผู้ชาย อยากแปลกประหลาดหรอ หรือว่าอยากให้คนอื่นสนใจ”
“เป็นอิสลามกินหมูไม่ได้หรอ อย่าให้รู้นะว่าไปแอบเเม่กินหมูตอนกลางคืน กินๆไปเถอะอัลเลาะห์ไม่รู้หรอก”
“หุบปากดีๆระวังฟันมันจะร่วงมาเฉาะหัวคนอื่น”
“น้ำหนักเท่าไหร่เนี่ย ไปขึ้นวินคันอื่นเลย ถ้าขึ้นคันนี้ยางแบนแน่ๆพี่ขี้เกียจเติมลมยาง”
“ทำไมไม่ซื้อรองเท้านักเรียนใหม่อ่ะ รู้ตัวเปล่ารองเท้านักเรียนเก่ามาก เก่าเหมือนเดินตั้งแต่ภาคเหนือลงไปภาคอีสานถามจริงๆเคยซักบ้างไหมเนี่ย”
หากคนในสังคมของเรายังมีการ เหยียดอาชีพ เหยียดเพศ เหยียดสีผิว รวมไปถึงเหยียดศาสนา สังคมนั้นยังจะเป็นสังคมที่น่าอยู่หรือเปล่า ในประเทศประเทศหนึ่ง ก็ต้องมีความแตกต่างกันทางศาสนา ชนชาติ ฐานะ และเพศสภาพ เป็นปกติอยู่แล้ว การที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ก็ต้องอาศัยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
แต่การกระทำที่เราเห็นข้างต้นมันแสดงให้เห็นว่า หากสังคมของเรายังมีคนแบบนี้อยู่ไม่ว่าจะมากหรือน้อย สังคมนั้นก็คงเป็นสังคมที่ไม่น่าอยู่ อยู่ดี
มีเด็กรุ่นใหม่หลายคนต้องการจะเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทิศทางที่ดีขึ้น ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น เชื่อว่าไม่มีใครอยากพบเจอกับตัวเอง ไม่มีใครอยากถูกเหยียดในด้านต่างๆ ทุกคนต่างก็อยากเป็นตัวของตัวเอง อยากมีอิสระในความคิดและการใช้ชีวิตของตัวเอง การจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้เป็นหน้าที่ของใคร ใครต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้
คำถามแต่ละคำถามที่ผุดขึ้นมาจากบทความนี้ ทำให้เราได้ฉุกคิดว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งที่เราทำได้จริงๆหรือไม่ ตัวอย่างเช่น เราต้องการไม่ให้สังคม มีการเหยียดเพศ เหยียดสีผิว เหยียดอาชีพ หรือเหยียดอีกต่างๆมากมาย แล้วตัวเราเองทำแบบนั้นได้จริงๆหรือเปล่า
เราจะสามารถมองคนผิวดำให้ดูสวยในแบบที่เขาเป็นได้จริงๆหรือเปล่า เราจะสามารถปฏิบัติกับคนยากจนและคนรวยอย่างเท่าเทียมกันได้จริงๆหรอ การอยู่ร่วมกันของหลายๆศาสนาในสังคม เราจะไม่มองว่าศาสนาที่มีความเชื่อแตกต่างจากเราเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดใช่ไหม
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ทำให้เราได้วิเคราะห์ตัวเองจริงๆว่า เรามีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไงบ้าง ถ้าหากสิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ การเปลี่ยนแปลงที่เราอยากให้เกิดขึ้นมันจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากสิ่งที่เราต้องการเป็นสิ่งที่ตัวเราเองก็ไม่สามารถทำได้
เช่น เราไม่อยากให้มีการเหยียดสีผิวเกิดขึ้นแต่เมื่อเราเห็นคนที่มีสีผิวแตกต่างจากเรา เราก็จะวิพากษ์วิจารณ์ หรือบางคนอาจจะหัวเราะเยาะแล้วมองว่าเขาเป็นตัวตลก เราไม่อยากให้มีการเหยียดเพศแต่เมื่อเราเห็นเพศที่สามหรือเพศอื่นๆเราก็จะเกิดคำถามและตั้งข้อสงสัยจากสิ่งที่เขาเป็น เราอยากให้มีความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นในสังคม แต่บางทีเราก็ปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างไม่เท่าเทียมกัน
สิ่งเหล่านี้มันทำให้มีความย้อนแย้งในความคิดว่าจริงๆแล้วสังคมที่เราต้องการเป็นสังคมที่เราอยากได้จริงๆหรือเปล่า หรือเป็นเพียงแค่ภาพฝันที่เราคิดว่ามันน่าจะสวยงามมากๆแต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่ภาพฝันอยู่ดีเพราะในทางปฏิบัติมันยากเหลือเกินกว่าจะเดินไปถึงจุดหมายตรงนั้น
การเปลี่ยนแปลงในสังคมเป็นเรื่องของใคร ใครควรที่จะจัดการกับเรื่องนี้คำตอบก็คือเราทุกคนนั่นแหละที่จะต้องเป็นผู้เปลี่ยนแปลง เรา 1 คนอยู่ในสังคมร่วมกันหลายคนหากเรามีความคิดและมีทัศนคติที่ดี แน่นอนว่าเราก็จะให้เกียรติผู้อื่นเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเมตตาเห็นอกเห็นใจกันในสังคม แค่นี้สังคมก็น่าอยู่และสวยงามเกินกว่าที่เราคิดแล้ว
ก่อนที่เราจะคิดเปลี่ยนแปลงสังคมเราต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองก่อนซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆใช้เวลา ค่อยๆปรับตัวทำความเข้าใจกับมัน คนเราเกิดมาจากครอบครัวคนละแบบถูกขัดเกลาและถูกอบรมสั่งสอนมาคนละแบบความคิดตั้งต้นของคนเราจึงแตกต่างกัน แต่ถ้าหากเราเริ่มปรับเปลี่ยนความคิดตั้งแต่วันนี้
เปลี่ยนความคิดเราให้เข้าใจวิถีชีวิต เข้าใจคนอื่น เข้าใจว่าเราควรจะทำตัวยังไงเพื่อให้สังคมมีความน่าอยู่ ความเข้าใจเหล่านี้แหละที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจริงๆ อาจจะไม่ต้องรอเวลาให้สังคมนั้นเปลี่ยนแปลงจริงๆ แต่อย่างน้อยสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงไปแน่ๆคือลักษณะนิสัยของเรา การที่เราคิดดีกับคนอื่น ทำดีกับคนอื่น
เราก็จะเป็นอีกหนึ่งคนที่ดึงดูดผู้คนดีๆเข้ามาหาเรา หากตัวเราเองทำดีเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่นแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสสูงมากที่ผู้อื่นจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างเเละปฏิบัติตาม แล้วเมื่อถึงวันนั้นสังคมที่ดีก็จะเกิดขึ้นกับประเทศของเรา